...
คันศรลิขิต ฉันมาระบายให้ท่านฟัง
Yufei มักจะหัวเราะเยาะว่าฉันเป็นเหมือนเด็กน้อย ที่มาระบายให้ท่านฟังในไดอารี่ แต่ข้อแรก นี่เป็นนิสัยตั้งแต่เด็กของฉัน ส่วนข้อสอง ฉันเชื่อว่าท่านสามารถอ่านมันได้อยู่แล้ว
ท่านสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ คนอย่างฉันไม่ควรเกิดมาเลย แต่ตอนนี้กลับได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและได้เป็นเพื่อนกับ Yufei ไม่มีสักวินาทีไหนเลยที่ฉันจะไม่สำนึกในบุญคุณของท่าน
ดังนั้นฉันหวังว่า ทุกสิ่งที่ฉันทำช่วงนี้จะไม่ไปล่วงเกินอำนาจอันสูงส่งของท่าน... ฉันไม่ได้ไม่พอใจโลก Xianzhou ที่ท่านอำนวยพรให้นะ ฉันแค่อยากเห็นโลกและสีสันที่แท้จริงเท่านั้น
สมัยเด็กๆ ตอนที่อยู่ที่สำนักศึกษา เวลาที่เด็กพวกนั้นรังแกฉันที่ตามองไม่เห็น ฉันก็เชื่อมั่นมาตลอดว่านี่เป็นบททดสอบจากท่าน คันศรลิขิต ต่อมาพอฉันได้เข้าสู่โรงเรียน เวลาที่ฉันต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะตามบทเรียนให้ทัน ฉันก็เชื่อมั่นเช่นนั้นเหมือนกัน
และเหมือนกับมันเป็นรางวัลสำหรับความดื้นรั้นของฉัน ท่านทำให้ฉันได้รู้จักกับ Yufei ตอนนั้นฉันอายุเจ็ดขวบ Yufei ช่วยฉันไล่เด็กไม่ดีพวกนั้นที่มารังแกฉัน และตั้งแต่นั้นมา เธอก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน
Yufei ปกป้องฉันไม่ให้โดนรังแก แถมยังช่วยให้ฉันไม่สอบตก ช่วงปิดเทอม เธอมักจะพาฉันไปชมภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงของแดนสนธยาแต่ละแห่ง และเล่าถึงทิวทัศน์อันสวยงามพวกนั้นให้ฉันฟังอย่างสมจริง เสียงของเธอไพเราะราวกับธารน้ำเย็นฉ่ำที่ไหลผ่านปลายนิ้วเลยล่ะ
ว่ากันตามเหตุผล ฉันไม่ควรไม่พอใจชีวิตในตอนนี้เลยสักนิด
แต่...มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีวิสัยทัศน์ เรารับรู้สรรพสิ่งในโลกผ่านแสงเงาและสีสัน ฉันไม่รู้ว่า "ดวงอาทิตย์ที่ตกสุดขอบป่า ย้อมฟากฟ้าให้เป็นสีแดง ดุจดั่งกองเพลิงลุกโชนในฉับพลัน" ที่ Yufei พูดถึงนั้นเป็นทิวทัศน์แบบไหนกันแน่... ถึงขั้นไม่รู้ว่า Yufei หน้าตาเป็นยังไงด้วยซ้ำ ฉันสัมผัสได้ จินตนาการได้ แต่กลับยากจะสร้างภาพอันสมบูรณ์แบบที่แท้จริงออกมาได้
ดังนั้น ด้วยการสนับสนุนของ Yufei ฉันจึงตัดสินใจจะหาวิธีฟื้นคืนความสามารถในการมองเห็นของตัวเอง
ขอบคุณเทพแห่งคันศรที่ประทานพรให้ฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งสุดใน Alchemy Commission ส่วน Yufei ก็เป็นหมอที่เก่งสุดใน Alchemy Commission บางทีพวกเราอาจจะหาวิธีทำให้ผู้ที่บกพร่องมาแต่กำเนิด สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ได้จริงๆ ก็ได้
...
หลายวันมานี้ฉันกับ Yufei พยายามกันมาตั้งหลายวิธี แต่ก็ไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่
วิธีแรก เราพยายามสร้างดวงตาเทียมด้วยวิธีที่ไม่รุกล้ำร่างกาย ความจริงแล้ว แขนกลของฉันก็ใช้เทคโนโลยีแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้จึงสามารถทำอะไรได้ไม่ต่างจากแขนจริงๆ ของคนทั่วไป
ในด้านทฤษฎี เราสามารถใช้วิธีที่ไม่รุกล้ำร่างกาย มาช่วยผู้ที่สายตาบกพร่องแต่กำเนิดได้จริง แต่สำหรับผู้ที่บกพร่องมาแต่กำเนิดที่เส้นประสาทตาไม่เติบโตอย่างฉัน "วิธีแบบไม่รุกล้ำร่างกาย" นั้นยากจะใช้ได้ผลจริง
วิธีที่สอง เราพยายามใช้หลักการของ "ผีเสื้อห้วงมายา" มาทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ แต่แก่นแท้ของผีเสื้อห้วงมายาคือการใช้ฟีโรโมนของมนุษย์จิ้งจอกมาสร้างภาพลวงตาที่ควบคุมได้ พวกเราเดาว่า บางทีเราอาจใช้มันเพื่อส่งภาพตรงเข้าสู่สมอง ผ่าน "ดวงตา" ที่เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณแสงได้
จากข้อสรุปแล้วมันใช้ได้จริง แต่สัญญาณพวกนั้นไม่สามารถสร้างเป็น "รูปภาพ" ที่มีความหมายขึ้นในสมองของฉันได้ กล่าวได้ว่ามันทำให้ฉัน "เห็น" สีสันและรูปร่างเป็นครั้งแรกได้ แต่ฉันแยกไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรคือ "สีแดง" และอะไรคือ "ทรงกลม"
พวกเราเดาว่า เป็นเพราะผีเสื้อห้วงมายาจำเป็นต้องสร้างภาพลวงตาขึ้นจากประสาทสัมผัสของผู้ใช้งาน ดังนั้นพอเจอกับประสาทสัมผัสของฉันที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ฟีโรโมนของมนุษย์จิ้งจอกจึงยังส่งผลได้ไม่เพียงพอ
แปลกจริงๆ มันทำให้ฉันเห็น "สีสัน" มากมายขนาดนั้นได้ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกโหยหาความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่เลย
วิธีที่สาม เราใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ มาทำให้เกิด "ประสาทสัมผัสทดแทน" นี่เป็นไอเดียของ Yufei ที่ต่อยอดมาจาก "ดวงตาเทียมด้วยวิธีที่ไม่รุกล้ำร่างกาย"... มันคือการเปลี่ยนสัญญาณภาพมาเป็นสัญญาณเสียง สัมผัส รส และกลิ่น แล้วใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ เหล่านี้มาสร้าง "ภาพ" ขึ้นใหม่
พวกเราสร้างเครื่องต้นแบบออกมาแล้ว แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือยากจะทำให้น้ำหนักเบาได้ พอเอาเครื่องตรวจจับสัญญาณพวกนั้นมารวมกัน ยังหนักกว่าตัวฉันตั้งสามคนแน่ะ จะให้แบกพวกมันเดินไปมาก็ลำบาก นับประสาอะไรกับการทดสอบ
แต่พวกเราก็ทำการทดสอบกันมาหลายครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ เครื่องมือชุดนี้เหมาะสำหรับเผ่าพันธุ์อายุขัยสั้นมากกว่า เพราะสมองของเผ่าพันธุ์อายุขัยสั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า ดังนั้น "ประสาทสัมผัสทดแทน" จึงสามารถกระตุ้นให้เกิดการแปลความหมายได้... โดยให้ประสาทสัมผัสหนึ่ง ไปกระตุ้นความรู้สึกของอีกประสาทสัมผัส เมื่อพวกเขาใช้เครื่องมือชุดนี้ในระยะยาว ก็จะสามารถ "รับรส" "ได้ยิน" หรือ "ได้กลิ่น" สีสัน รูปร่าง และระยะห่างพวกนั้นได้จริงๆ
แต่สำหรับเผ่าพันธุ์อายุยืนยาวที่มีสภาพสมองเปลี่ยนแปลงได้ยาก (อย่างเช่นฉัน) ประสาทสัมผัสพวกนี้ไม่อาจรวมกันเป็นประสาทสัมผัสใหม่ได้ อันที่จริง ตอนนี้พอฉันได้รับรสเผ็ด ก็จะรู้แล้วว่าบล็อกทดสอบเป็นสีฟ้า พอได้กลิ่นอายเย็นๆ ก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นทรงกรวย แต่ฉันยังไม่ได้ "เห็น" พวกมันจริงๆ และไม่รู้ด้วยว่า "สีฟ้า" คืออะไรกันแน่
แม้จะบอกว่าเครื่องมือชุดนี้เหมาะสำหรับเผ่าพันธุ์อายุขัยสั้นมากกว่า แต่เผ่าพันธุ์อายุขัยสั้นก็สามารถใช้อวัยวะเทียมแบบรุกล้ำร่างกายมาแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อะไรซับซ้อนแบบนี้เลย
การทดสอบพวกนี้เสียทั้งเวลาและความพยายามของฉันกับ Yufei ไปมาก แต่สุดท้ายก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย ถึงขั้นแทบจะพูดไม่ได้เลยว่า การทดลองพวกนี้จะช่วยนักวิชาการในอนาคตได้หรือไม่
ฉันรู้สึกท้อแท้ หมดหนทาง และขอโทษ Yufei มากจริงๆ นะ
...
ฉันได้ติดต่อกับศาสตราจารย์ Egan ของสถาบันแห่งปัญญา เขาเสนอวิธีแก้ไขที่ค่อนข้างแปลกออกมา ศาสตราจารย์ Egan เรียกมันว่า "วิธีรักษาโดยการขจัดวัตถุนิยม"
"การขจัดวัตถุนิยม" คือแนวคิดปรัชญาที่เก่าแก่มาก โดยมองว่าความรู้สึกทุกอย่างของมนุษย์ล้วนมาจากฮอร์โมนและสัญญาณไฟฟ้า ความหมายของศาสตราจารย์ Egan คือ ถ้าไม่สามารถทำลายต้นกำเนิดความทุกข์ของผู้ที่บกพร่องมาแต่กำเนิดได้ งั้นก็กำจัดความทุกข์ทรมานนั้นไปซะ
แค่ใช้ปั๊มฉีดยาพิเศษเข้าไปในร่างกายในเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้คนไม่สนใจข้อบกพร่องทางกายของตัวเอง และทำให้ฉัน "ไม่อยากเห็น" โลกอีกต่อไป และไม่รู้สึกด้วยว่าตอนนี้ตัวเองไม่ดีตรงไหน
แม้จะฟังดูแปลกมากๆ แต่ก็เหมือนจะเป็นแนวทางที่ใช้ได้เลยนะ
แต่น่าเสียดายที่ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า แนวทางนี้ใช้กับเผ่าพันธุ์อายุยืนยาวไม่ได้
ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายของเผ่าพันธุ์อายุยืนยาวบ่งชี้ถึงความสมดุลที่ถูกรักษาไว้อย่างเข้มงวด ความพยายามภายนอกใดๆ ก็ตามที่รบกวนกระบวนการนี้จะถูกสะท้อนกลับอย่างรุนแรง
ฉันรู้สึก "ไม่สนใจ" ได้ประมาณสองชั่วโมง จากนั้นก็เกือบตายอยู่ในพายุแห่งภูมิคุ้มกัน
...
พอได้ทดสอบมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ฉันท้อใจมาก
แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็อยากจะเห็นหน้าตาของ Yufei สักครั้ง ดังนั้นฉันจึงปิดบัง Yufei (แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วยกับเรื่องไร้สาระแบบนี้แน่) แล้วขอให้ศาสตราจารย์ Egan สวมใส่ดวงตาเทียมให้ฉัน
ในที่สุดฉันก็ได้เห็นตัวเองและ Yufei เป็นครั้งแรก ผมสั้นสีดำของเธอเงางามดุจผ้าไหม ผิวขาวบริสุทธิ์ดุจเครื่องเคลือบดินเผาที่ดีที่สุดจาก Zhuming ดวงตาราวหยกสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยเลือดฝาดเพราะความอ่อนล้าเศร้าโศก และเธอก็กำลังร้องไห้ไม่หยุด
เธอมองดูดวงตาคู่ใหม่ของฉัน แล้วถามว่า "Dan Shu เธอรู้ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร?"
แน่นอนว่าฉันรู้ หมายความว่าดวงตาคู่นี้จะค่อยๆ ถูกปฏิเสธ และกระบวนการระหว่างนี้ฉันจะทรมานอย่างมาก ในประวัติศาสตร์มีคนเคยกลายเป็น Mara-Struck เพราะความทรมานแบบนี้มาแล้ว
จากนั้นดวงตาของฉันก็จะกลับมามืดมนเหมือนเดิม และสูญเสียทุกสิ่งที่ตัวเองได้รับในเวลาสั้นๆ ไป
ฉันบอก Yufei ว่า "เราไปชมทิวทัศน์เหล่านั้นกันเถอะ ทิวทัศน์ที่เธอเล่าให้ฉันฟังตอนนั้นไงล่ะ"
ดวงอาทิตย์ที่ตกสุดขอบป่า ย้อมฟากฟ้าให้เป็นสีแดง ดุจดั่งกองเพลิงลุกโชนในฉับพลัน
คืนนั้นฉันร้องไห้อยู่ท่ามกลางกองเลือด และหวนกลับมาอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง