ในสถาบันแห่งปัญญา สมาชิกที่สามารถเข้าร่วมสมาคมอัจฉริยะได้จริงมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่สถาบันแห่งนี้ก็ไม่เคยหวงแหน พวกเขายอมรับคนที่แสวงหาความรู้จากจักรวาลอันกว้างใหญ่ และให้สัญญาว่าจะมอบความรู้อย่างเต็มที่ในทุกกรณี
สถาบันแห่งปัญญาสนับสนุนว่า "ความรู้ทั้งหลายต้องมีการหมุนเวียนเหมือนกับเงินตรา" ดังนั้น แม้จะมีแผนกอยู่ในสถาบันมากมาย ทว่าต่างก็เชี่ยวชาญกันไปคนละด้าน จึงไม่มีใครยึดติดอยู่กับความคิดตัวเอง กลับกัน เพื่อแสวงหาการบูรณาการทางความรู้ที่ดีที่สุด พวกเขาจึงได้ใช้ความรู้แลกมาซึ่งปัญญา และใช้สมการแลกมาซึ่งหนทาง สถาบันแต่ละแห่งจะเหมือนกับกลุ่มธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบเรื่องเงินทุน ส่วนการหมุนเวียนทางความรู้ ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดโดยอาศัยรูปแบบทางเศรษฐกิจอีกด้วย
บางคนในสมาคมอัจฉริยะมองว่าสถาบันแห่งปัญญาเป็นเหมือนพวกตัวตลกโง่เขลา และเรียกพวกเขาว่ากลุ่มคนเพี้ยน ในฐานะที่เป็นองค์กรทางวิชาการแบบเปิด สถาบันแห่งปัญญาจึงไม่เคยให้ค่าคำเสียดสีเช่นนั้นเลย หลังจากการวิจัยและสำรวจอันยาวนาน เหล่านักวิชาการทั้งหลายก็เห็นพ้องต้องกันว่า: "มีเพียงเครือข่ายวิชาการ ที่มีการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะก้าวข้ามขีดจำกัดส่วนบุคคลได้"