Archivum Honkai: Star Rail

บทที่ 2: นครน้ำแข็ง (3)

ความเดิมตอนที่แล้ว: Artem เดินผ่านระเบียงทางเดินประวัติศาสตร์ของนครน้ำแข็ง ระหว่างรออยู่ในโถงรับแขกเพื่อรอการเรียกพบจากราชินี เขาก็ได้พบกับ Dalmir ผู้เข้ามาพูดคุยด้วย พวกเขาสองคนคุยกันถูกคอ จากนั้น Dalmir ก็แสดงจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา เขาต้องการเพื่อนร่วมทางเพื่อกลับไปยังอาณาจักรลาวา แล้วโบยบินสู่ท้องฟ้าด้วยกัน...

ความคิดของ Artem ถูกทุบตีอย่างหนักหน่วงราวกับหน้ากลอง... มันทำให้เขาตกตะลึงถึงขีดสุดอีกครั้ง

"ออกไปนอกโลก...ไปนอกฝั่งฟ้า?"

วิทยาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยรับรู้ ดินแดนอัศจรรย์ที่อยู่ห่างไกล... ทุกเรื่องราวสั่นคลอนขอบเขตความเข้าใจโลกของ Artem ไม่หยุดหย่อน เมื่อเขาคิดว่าตนจะไม่ตกใจกับสิ่งใดอีก ชายตรงหน้ากลับชวนให้เขาบินขึ้นจากพื้นโดยใช้ปืนใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังภูเขาไฟ แน่นอนว่าตัวเลือกของเขามีอยู่เพียงหนึ่งเดียว...

"ขอโทษด้วยที่ต้องปฏิเสธ!"

"หาา? ฉันคิดว่านายจะชอบผจญภัยกว่านี้แล้วตอบตกลงทันทีซะอีก!"

"สองอย่างนี้มันคนละเรื่องเลยนะ ไปยังดินแดนอันไกลโพ้นหรือปีนป่ายขึ้นที่สูง... ก็ถือว่าเป็นเรื่องบ้าบอสำหรับบางคนแล้ว แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตของเหตุผลและแรงกระตุ้นต่อการผจญภัยของมนุษย์ แต่ถ้าให้โบยบินสู่ท้องฟ้าด้วยภูเขาไฟ...นี่มันเป็นการรนหาที่ตายที่พิลึกเกินไปแล้ว?"

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เขาก็รีบบอกลานักผจญภัยผู้มาจากภูเขาไฟ

"บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความโง่เขลาที่บุ่มบ่ามก็ได้นะ พ่อหนุ่ม" เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีคนเข้ามาคุยกับ Artem อีกแล้ว เสียงนั้นทั้งน่าเกรงขามและไพเราะเสนาะหู

Artem สังเกตเห็นหญิงสาวในชุดหรูหรา เธอกำลังยืนมองมาที่เขาไม่ไกล ดูจากการแต่งกายของคนคนนี้ Artem ก็เดาได้ทันที... เขารีบคุกเข่า หญิงสาวส่งยิ้มและพยักหน้าให้

"ขอถามหน่อยได้ไหม? นักผจญภัยจาก Belobog... ทำไมคุณถึงก้าวสู่การผจญภัยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนี้เหรอ?"

"อาจเพราะ...เลือดของความไม่อยู่นิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายผมตั้งแต่เกิดล่ะมั้ง?" Artem ไตร่ตรองดู แต่ครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายหัว

"อาจเป็นเพราะชีวิตใน Belobog สงบเกินไป... เราหลบอยู่แต่ในเรือนกระจก ฟังการสั่งสอนจากนักพูดซ้ำๆ อยู่ทุกวัน ขณะที่กองกำลังคอยปกป้องดินแดน กำจัดมอนสเตอร์ไม่ให้บุกรุกเข้าสู่เมือง แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้คนก้าวออกจากชายแดนแม้แต่ก้าวเดียว และถ้าทำงานหนักก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่... ทุกๆ วันก็จะเหมือนกับวันก่อนๆ วันเวลาอันสุขสงบไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผู้คนที่นั่นกลัวอนาคตที่ไม่แน่นอน และกลัวการสูญเสียชีวิตที่พวกเขาคุ้นชิน แม้ Belobog จะมีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี แต่ก็ไม่มีใครเคยหลุดพ้นจากมันได้อย่างแท้จริง"

"ผมไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อหาแทบไม่ต่างจากเดิมทุกวัน ผมไม่อยากปิดตา ปิดหู แล้วแกล้งทำเป็นว่าโลกนี้มีขนาดใหญ่เท่าเมืองหนึ่งเมือง ผมอยากรู้ว่าถ้าออกจากชีวิตที่ปลอดภัยนี้ แล้วจะยังมีชีวิตรอดได้อยู่หรือเปล่า"

หญิงสาวหัวเราะ "ดูแล้วคุณน่าจะเกิดผิดที่นะ... เธอแตกต่างจากชาว Belobog คนอื่นๆ ที่ฉันเคยรู้จักมากเลย"

"นอกจากผม ยังมีชาว Belobog คนอื่นเคยมาถึงที่นี่ด้วยเหรอ?"

"นั่นมันเรื่องเมื่อร้อยปีก่อนน่ะ ซึ่งมีผลสรุปที่น่าเศร้านัก โชคดีที่นครน้ำแข็งไม่เคยหยุดอยู่กับที่... มันเคลื่อนตัวไปตามพายุหิมะอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงภัยจากสงครามของทั้งสองฝ่ายได้"

Artem ตกใจเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้นจากปากของหญิงสาวผู้นี้ "ท่านหมายความว่า Belobog เคยเกือบจะทำสงครามกับนครน้ำแข็งงั้นเหรอ?"

"ตั้งแต่นั้นมา เราก็เตรียมพร้อมรับมือผู้มาเยือนทุกคนจากดินแดนนั้น" หญิงสาวยกมือขึ้น บ่งบอกว่าอย่าเพิ่งถามตอนนี้ "แต่อย่างที่คุณเห็น นครน้ำแข็งไม่ใช่ก้อนน้ำแข็งทื่อๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง... มันก่อสร้างขึ้นมาจากกระแสน้ำไหลหลั่ง และไม่ผูกมัดกับอคติใดเหมือนกับสายน้ำเช่นกัน"

"การตัดสินคนคนหนึ่งก็เหมือนกับอัญมณี ที่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดให้ครบทุกเหลี่ยมมุม ฉันได้ยินเรื่องของคุณมาจาก Anna และได้อ่านบันทึกการผจญภัยที่คุณเขียนแล้ว และตอนนี้ฉันก็ได้เจอกับคุณด้วยตาตัวเอง หากมองจากมาตรฐานของนครน้ำแข็งล่ะก็ คุณช่างเป็นคนที่โดดเด่นจริงๆ"

"ขอบคุณสำหรับความเห็นของท่าน องค์ราชินี" Artem ก้มศีรษะลง

"กลับไปที่เรื่องเมื่อสักครู่ ฉันถามคุณว่าทำไมถึงก้าวสู่การเดินทางผจญภัย คำตอบของคุณ ได้พิสูจน์แล้วว่าคุณไม่ยอมถูกกักขังอยู่ในโลกอันคับแคบ และไม่ยอมทำสิ่งเดิมซ้ำซากทุกวัน นครน้ำแข็ง อาณาจักรลาวา...คุณได้ยิน และถึงขั้นได้เห็นทัศนียภาพมากมายบนโลกใบนี้ที่เกินกว่าคนส่วนใหญ่จะนึกฝันแล้ว แต่โลกใบนี้ผูกติดกับท้องฟ้า เหมือนกับที่ Belobog ผูกติดกับผืนดินนะ... คุณเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?"

"ผม...เข้าใจ องค์ราชินี ผมเพียงจินตนาการไม่ออก มนุษย์จะก้าวขึ้นไปบนฟ้าได้เหรอ?" Artem เอ่ยพึมพำ "มีแต่นกเท่านั้นที่ทำได้ ผม...ผมแยกไม่ออกเลยว่าคำเชิญของ Dalmir คือความบ้าที่จะหาเรื่องตาย หรือว่าเป็นการเดิมพันของนักสำรวจกันแน่"

"สองอย่างนี้แตกต่างกันมากเหรอ? แต่ไหนแต่ไร การผจญภัยก็มีราคาแพง และเป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียต่อสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพราะจิตวิญญาณเช่นนั้น มนุษย์ในโลกเก่าจึงสามารถไปถึงความสูงที่พวกเราไม่อาจจินตนาการได้ หากพูดตามตรง การผจญภัยและการสำรวจก็คือหนึ่งในมรดกที่มาจากโลกเก่านั่นเอง"

"คุณที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ใน Belobog ก็คงจะนึกภาพของนครน้ำแข็งไม่ออกใช่ไหมล่ะ? Satelleden ที่ Dalmir พูดมาน่ะ ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก มันคือปาฏิหาริย์ที่มนุษย์จากโลกเก่าหลงเหลือเอาไว้ในห้วงอวกาศที่ลึกเกินกว่าตาเปล่าจะมองเห็น... เพียงแต่คนสมัยนี้ลืมเลือนไปแล้วว่าที่แห่งนั้นเป็นอย่างไร" ราชินีถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าโศกเศร้าเล็กน้อย

"คุณไล่ตามรีลิกส์โบราณพวกนั้นจนมาถึงทุ่งหิมะ ก็เพื่อสืบสานมรดกจากโลกเก่า แต่ทางกลับได้ถูกฝังเอาไว้ใต้กองหิมะแล้ว ไม่มีทางกลับอีกต่อไปแล้ว Artem มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น... ทั้งคุณ ทั้งนครน้ำแข็ง ก็ล้วนแต่ต้องทำเช่นนี้"

"ผมจะลองคิดดู" นักผจญภัยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด "ผมจะไปคุยกับ Dalmir"

ทันใดนั้นสีหน้าขององค์ราชินีก็เคร่งขรึม "ฉันไม่ได้มาเกลี้ยกล่อมคุณหรอกนะ พ่อหนุ่ม Artem การผจญภัยจะต้องอาศัยแรงกระตุ้น แต่ไม่มีใครไปถึงสุดขอบฟ้าได้แค่เพราะแรงกระตุ้นอย่างเดียวหรอกนะ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกอย่างไร ฉันก็มีของขวัญหนึ่งที่จะมอบให้"

ราชินียื่นมือออกจากเสื้อคลุมไปตรงหน้า Artem ในมือถือคทายาวหนึ่งศอกเล่มหนึ่ง ปลายคทาแยกออก มันมีรูปร่างเหมือนกับนกอินทรีสองหัว

"พ่อหนุ่ม Artem นครน้ำแข็งไม่มีพิธีคุกเข่า แต่เพื่อแสดงความเคารพต่อสติปัญญาของโลกเก่า คุณจงคุกเข่าลงเถิด ไม่ใช่เพื่อฉัน แต่เพื่อโลกยุคเก่าแห่งนั้น"

องค์ราชินีถือคทา ทันใดนั้นของเหลวก็ไหลออกมาอาบบนคทา แล้วก่อตัวเป็นดาบน้ำแข็งสีฟ้าคราม

เธอกวัดแกว่งดาบด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แล้วแตะเบาๆ ที่ไหล่ซ้ายขวาและศีรษะของ Artem อย่างละครั้ง Artem สัมผัสได้ถึงน้ำแข็งที่กระโดดโลดเต้นและหอบหายใจอยู่บนไหล่ของตน

"ขอให้ทางข้างหน้าจงไร้อุปสรรค โชคดีจงสถิตกาย และไม่เสื่อมคลายความกล้าหาญ"

"ดาบที่หลอมจากน้ำเล่มนี้เป็นเทคโนโลยีจากโลกเก่า ตอนนี้ฉันมอบมันให้กับคุณแล้ว อัศวินแห่งเมืองน้ำแข็ง ถึงมันเป็นเพียงเข็มเล็กๆ สำหรับท้องฟ้า และเป็นเพียงเครื่องมือทำลายอุปสรรคสำหรับพื้นดิน แต่สำหรับคุณ มันคือความกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าในยามวิกฤต"

"ไปเถอะ Artem"